ชวนเพื่อนเที่ยว อิ่มบุญ 3 วัด อิ่มจัดหนักที่ตลาดพลู




วันนี้จะชวนข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปเดินเล่นขยับแข้งขากันที่เขตธนบุรีเพื่อชม 3 วัดดังในย่านนี้ ได้แก่วัดขุนจันทร์ วัดอัปสรสวรรค์ และวัดปากน้ำ(ภาษีเจริญ) ไปดูให้เห็นกับตาว่ามีอะไรดีที่เราต้องพากันไป และชวนชิมอาหารเลื่องชื่อที่ตลาดพลูแบบไม่อิ่มไม่ต้องกลับ  วันนี้เที่ยวกันหลายที่ ดังนั้นเราจะคุยด้วยภาพให้จุใจ จัดเต็มกันไปเลยจร้าาาา


การเดินทางในทริปนี้ก็เช่นเคย จอดรถไว้ที่บ้าน แล้วเดินทางสบายๆ ด้วยการใช้รถไฟฟ้า BTS สายสีลม (สีเขียวเข้ม) ปลายทางที่ สถานีตลาดพลู (S10) 
รถไฟฟ้าสายนี้ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยล่ะ ดูวิวบนสะพานที่ถ่ายจากบนรถไฟฟ้าสิ สวย แปลกตาไปอีกแบบ


เขา(ไหนก็ไม่รู้)ว่ากันว่าเพื่อนกินหาง่าย เพื่อนเที่ยวหายาก อิอิ ทริปนี้จึงชวนเพื่อนมากินมาเที่ยวด้วยสักหน่อย จะมีใครตกปากรับคำเราบ้างไหมหนอ ในที่สุดทริปนี้เราก็ได้เพื่อนเที่ยวมา 1 คนถ้วน คือคุณต่อ ...คนนี้นี่เอง แนะนำให้รู้จักไว้ค่ะ อาจจะได้เจอะเจอกันในทริปถัดๆไป
เมื่อมาถึงสถานีตลาดพลูแล้ว ใช้ทางออกที่ 2 เดินตรงตามทางไปจนถึงแยกไฟแดง จากนั้นให้ข้ามถนนไปทางซ้าย แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ ประมาณ 800 เมตร จนสังเกตเห็นทางรถไฟขวางหน้าเรา และเห็นป้อมควบคุมสัญญาณรถไฟ แสดงว่าเรามาถึงแล้วจ้าาา ...ย่านตลาดพลู ถ้าเดินตรงขึ้นไปจะเห็นถนนที่ขวางหน้าเราอยู่ ถนนนี้คือถนนเทอดไท แต่ตอนนี้บนเส้นทางรถไฟ  ให้หันไปทางขวาก่อน เราจะเห็นสถานีรถไฟตลาดพลูอยู่ไม่ไกล เดินไปดูกันสักนิด ไหนๆก็มาถึงแล้ว


เราเดินเข้าไปในสถานีตลาดพลูที่ทาสีม่วงสวยหวานสลับเข้มอ่อน สามารถเดินผ่านไปยังด้านหน้าสถานีได้ มองไปฝั่งตรงข้ามถนนพบร้านที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์ในช่วงเช้าของเราแล้ว (ช่วงเช้าร้านอาหารจะไม่คึกคักเท่าช่วงเย็น) นั่นไง!!!  ร้านหลีเฮง เสาชิงช้า (แต่ไหงมาอยู่ที่ตลาดพลูได้นะ อิอิ ... เราไม่สนใจหาคำตอบหรอกน่า สนใจแค่ว่าอร่อยไหมก็พอ) ไม่รอช้า ข้ามถนนไปหาเลยจ้า ถนนที่ข้ามไปนี่ก็คือถนนเทอดไทนั่นเอง แล้วเราก็ได้เมนูที่สามารถแนะนำให้คุณๆมาชิมได้ คือ ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ และก๋วยเตี๋ยวต้มยำน้ำข้น เด็ดจริงไรจริง ลองมาชิมกัน ราคาชามละ 50 บาทไม่ขาดไม่เกิน

เมื่อสะสมพลังงานแล้ว เราก็เริ่มต้นการเดินทางของเรา ออกไปยืนหน้าร้านให้หันทางขวา เพื่อไปยังเทอดไท 28   ป่ะ เดินจ้ะเดิน เขาว่าการเดินช่วยให้เราห่างไกลหลายโรคเลยนะ มาถึงซอยเทอดไท 28 แล้ว เราจะสังเกตเห็นป้ายชื่อวัดขุนจันทร์ รวมถึงซุ้มประตูวัดซึ่งมีชื่อเต็มๆว่า วัดวรามาตยภันฑสาราราม ก็เดินเข้าซอยไปกันเลย


วัดขุนจันทร์นี้เป็นวัดเก่าแก่ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2370  ในสมัยรัชกาลที่ 3  สร้างขึ้นโดยพระยามหาอมาตยาธิบดี (ป้อม อมาตยกุล) หลังได้รับชัยชนะจากสงครามจากเมืองเวียงจันทน์ จึงได้ชื่อว่าวัดขุนจันทร์ โดยนัยเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตในสงครามนั้น ต่อมาได้ถูกบูรณะขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยท้าวภัณฑสารานุรักษ์ (วรรณ) ธิดาคนเล็กของพระยามหาอมาตยาธิบดีนั่นเอง จึงได้ทูลขอพระราชทานนามวัดใหม่ ทรงโปรดให้ชื่อว่าวัดวรามาตยภัณฑสาราราม แต่เนื่องจากชื่อใหม่มีความยาวและเรียกยากชาวบ้านจึงเรียกว่าวัดขุนจันทร์เช่นเดิม

ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างยิ่งในด้านการทำบุญสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา แก้ชง บูชาพระราหู เป็นต้น มีสถาปัตยกรรม ประติมากรรม รูปปั้น รูปหล่อ ขนาดใหญ่ มองเห็นเด่นชัดและสะดุดตาจำนวนมาก 

เราเดินชมความสวยงามภายในวัดไปเรื่อยๆ จนไปถึงหลังวัด ก็เจอกับสะพานข้ามคลอง ที่มองเห็นฝั่งตรงข้ามว่าเป็นวัดเช่นกัน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เดินขึ้นสะพานไปเลยค่ะ


สะพานนี้ชื่อนิรันดรอุทิศ สืบค้นพบว่าเป็นสะพานที่สร้างจากการที่จอมพล ป พิบูลสงคราม ได้บอกบุญไปยังท่านขุนนิรันดรชัยให้ช่วยสร้าง เพื่อใช้สัญจรข้ามคลองจากวัดขุนจันทร์ไปยังวัดหมูหรือวัดอัปสรสวรรค์แทนสะพานไม้โย้เย้เดิม จึงได้ชื่อว่าสะพานนิรันดรอุทิศเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สร้าง บนสะพานนี้มีทัศนียภาพรื่นรมย์ อดใจไม่ได้ก็ต้องแชะภาพไว้บ้าง บังเอิญพบสะพานบาล 😁😃 นอนเฝ้าอยู่ 2 ตัว ท่าจะทำงานมาหนักมาก หลับสนิทไม่สนใจใครเลยเชียวล่ะ


เมื่อข้ามสะพานมาจะพบเรือนไม้ที่ดูมีความขลังมาก สังเกตได้จากความคร่ำคร่าของกระเบื้องหลังคาที่พบเห็นได้ยากยิ่งแล้วในปัจจุบัน และเมื่อเดินผ่านเข้ามาจะพบศาลาพระไตรปิฎกกลางน้ำ และหอระฆัง แสดงว่าเราได้เข้ามายังเขตวัดอัปสรสวรรค์แล้ว
วัดนี้เป็นวัดพระอารามหลวงชั้นตรี ประดิษฐานพระพุทธเจ้า 28 พระองค์อยู่ภายในอุโบสถ ควรเข้ามากราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคล เสริมบารมี และมีหลายคนนิยมมาแก้ชง เสริมชะตาที่วัดนี้เช่นกัน
ด้วยความที่วัดนี้เป็นวัดโบราณ สร้างแต่สมัยใดไม่ปรากฏชัดเจน แต่มีการบูรณะในรัชกาลที่ 3 และเปลี่ยนชื่อจากเดิมคือวัดหมูมาเป็นวัดอัปสรสวรรค์ตั้งแต่บัดนั้น ที่นี่จึงมีสิ่งที่ยืนยันความมีอายุยาวนานอยู่มากมาย เช่น ซุ้มประตูทางเข้าอุโบสถ หน้าบันที่ไม่มีช่อฟ้าใบระกาแต่เป็นการประดับประดาด้วยปูนปั้นแบบจีน ตามพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 อาคารเรียนเดิมของโรงเรียนวัดอัปสรสวรรค์ที่มีเค้าเดิมแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรือง หรูหราและสวยงามเป็นอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่ปัจจุบันปล่อยให้รกร้างผุพัง  รากต้นไทรที่มีขนาดใหญ่พันกันเป็นกลุ่มปกคลุมพื้นดินเท่าที่จะยึดได้จนแน่นขยายไปด้านข้างต่อไม่ได้แล้ว เพราะถูกเบียดบังด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก

อิ่มเอมใจกับวัดที่ 2 เพียงเท่านี้ เราออกเดินต่อกันดีกว่า เดินตามทางเดินเลาะมาหลังวัดเราก็จะพบทางเชื่อมเดินไปยังวัดปากน้ำ หรือที่เรียกว่าวัดปากน้ำ ภาษีเจริญนั่นเอง


เราเดินกันมาจนเข้าเขตวัดปากน้ำทางด้านหลังวัดแล้วล่ะ แต่ขอไปเติมพลังสักนิด ร่ำลือกันมาว่ามีอาหารอร่อยอยู่บริเวณหน้าวัดปากน้ำ หนึ่งในนั้นคือก๋วยจั๊บน้ำข้น อย่ารอช้าไปกันเถอะ แล้วเราก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ก๋วยจั๊บเฮียเคี้ยง สูตรยาจีนที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนชวนให้ระลึกถึงเมื่อครั้งเคยได้ทานในวัยเด็ก รสชาติยิ่งใช่เข้าไปใหญ่ ไม่เสียทีที่ได้รับป้ายเปิบพิสดารจากแม่ช้อย นางรำ มาเป็นหลักฐานการการันตีความอร่อย ไม่ต้องบอกนะว่าเราขอแนะนำให้มาชิมไหม เพราะสั่งไปเลยแบบพิเศษเครื่องแน่น ไข่พะโล้เต็มใบเลยจร้าาา ราคา 60 บาท เติมพริกน้ำส้มนิด พริกป่นหน่อย โอ้ยยยย... ฟินนน
ออกจากร้านมาก็เดินกลับไปสู่ทางเข้าวัดปากน้ำ เลียบฝั่งเดียวกับร้านก๋วยจั๊บหาขนมหวานทานตัดรสชาติสักนิด พบร้านขนมเบื้องโบราณ (ชิ้นละ 5 บาท) ที่มีทั้งไส้เค็มและไส้หวาน กรุบๆกรอบๆ และร้านไอติมทอด (ภาษาง่ายๆ ที่ถูกต้องคือ ไอศกรีมทอดนั่นเอง) ชิ้นละ 25 บาท ทอดมาใหม่ๆ ร้อนนอกแบบกรอบๆ เย็นด้านในแบบชื่นจายยย ก็แวะซื้อแวะทานกันไป อร่อยอีกแล้วอ่ะเธ้อออ  พอก่อนนะ เข้าไปวัดกันเถอะ เดี๋ยวจะเดินต่อไม่ไหว ฮ่าาาา


มาถึงวัดที่ 3 ซึ่งเป็นวัดที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง วัดปากน้ำ หรือที่มักเรียกติดปากว่าวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นวัดพระอารามหลวงชั้นตรี ที่มาของชื่อวัดปากน้ำนี้เพราะตั้งอยู่บนดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยาโดยผ่านทางคลองบางหลวงหรือคลองบางกอกใหญ่ วัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าสมัยพระมหากษัตริย์พระองค์ใด แต่ศิลปวัตถุที่อยู่คู่วัดหลายชิ้นมีหลักฐานว่าเป็นฝีมือของช่างสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นวัดประจำหัวเมืองธนบุรี ในรัชกาลที่ 3 ได้ทรงพระราชทานสถาปนาวัดนี้ให้เป็นพระอารามหลวงครั้งกรุงศรีอยุธยา 

วัดนี้อดีตเจ้าอาวาสพระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร) หรือหลวงพ่อวัดปากน้ำ ได้ทำการส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม ตั้งสำนักธรรมและบาลีจนเป็นที่รู้จักและศรัทธาในหมู่พุทธศาสนิกชน ต่อมาวัดได้กลายเป็นแหล่งศึกษาและปฏิบัติธรรม เป็นศูนย์กลางการศึกษาบาลี

นอกจากบรรยากาศร่มรื่นโดยรอบวัดแล้ว สิ่งที่ไม่ควรพลาดชมเมื่อมาถึงวัดปากน้ำ คือ พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล ที่มีความสูง 80 เมตร ภายในแบ่งออกเป็น 5 ชัั้น มีพิพิธภัณฑ์อยู่ที่ชั้น 1 และชั้น 3 ส่วนไฮไลต์อยู่ที่ชั้น 5 คือเจดีย์แก้วสีเขียวมรกต สร้างจากกระจกแกะสลักด้วยมือวางซ้อนกัน 800 ชั้น สูงทั้งสิ้น 8 เมตร 
พระมหาเจดีย์มหารัชมงคลนี้ติดอันดับ 1 ใน 10 สถานที่เที่ยวที่ต้องมาของนิตยสารแนะนำการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น ทำให้ที่นี่มีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมาเยี่ยมเยือนไม่ขาด ถ้าคุณมาพบนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมาเที่ยวที่นี่มากมายก็ไม่ต้องแปลกใจ เขาข้ามน้ำข้ามทะเลมาเที่ยวมาชม คุณล่ะ... จะไม่ออกมาเที่ยวมาชมสักหน่อยเหรอ

นอกจากนี้ทางวัดยังได้จัดสร้างพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดใหญ่ สูง 69 เมตร สูงขนาดตึก 20 ชั้น ที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการ มีชื่อว่า พระพุทธธรรมกายเทพมงคล สามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัดอีกด้วย


เอาล่ะ...วันนี้เราอิ่มบุญกันเยอะมากกก ได้เวลากลับบ้านกันแล้ว แต่ก่อนกลับขอจัดอีกสักมื้อ  ไปจ้ะ เดินกลับทางเดิมที่เรามานั่นแหละ ไม่ไกลหรอกน่า เดินไม่ทันเมื่อยก็ถึงแล้ว เราเดินมาจนถึงทางรถไฟที่มาถึงเมื่อเช้านี้ มองไปทางซ้าย ทางเดียวกับที่จะไปสถานีรถไฟนั่นแหละ เดินเลียบทางรถไฟไปปากทางเลยจ้ะ มองซ้ายมือก็จะเจอกับร้านข้าวหมูแดงเจ้าดังของที่นี่ คือ สุณีข้าวหมูแดง เขาขายมานานกว่า 60 ปีแล้ว จริงจริ๊ง!! ป้ายการันตีความอร่อยจากรายการทีวีเพียบ ราคาจานละ 40 บาทจ้า ถัดไปอีกนิดจะพบกับร้านลิ้มเชิญชิม เด็ดเรื่องก๋วยเตี๋ยวเนื้อน้ำใส แต่ด้วยความที่เราอิ่มมากกก เลยขอเป็นเกาเหลาแทนละกัน แต่อยากบอกว่าขนาดอิ่มนะยังหมดอ่ะ ก็แหม... อร่อยจริง เครื่องก็ครบทุกอย่างทั้งเนื้อสด เนื้อเปื่อย เอ็นตุ๋น  เครื่องในตุ๋น ลูกชิ้น หาแบบนี้ได้ยากเต็มที เครื่องแน่นขนาดนี้ 60 บาทเองเธ้อออ แถมท้ายเดินไปอีกนิดซื้อขนมหวานติดมือกลับบ้านได้อีกด้วยนะที่ร้านขนมหวานตลาดพลู มีขนมไทยให้เลือกซื้อเยอะแยะไม่ว่าจะทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน ตะโก้ ข้าวเหนียวหน้าต่างๆ ขนมชั้น เปียกปูน หม้อแกง วุ้นกะทิและอีกมากมาย อร่อย หอม สมกับความเป็นเจ้าถิ่นของเขาเลยเชียวคุณ


วันนี้ครบสูตรเลยทั้งชม ชิม แชะ ช็อป ก็สมควรแก่เวลาต้องจากลากันแล้ว หวังว่าความอิ่มเอมในวันนี้จะเพียงพอเป็นแนวทางให้คุณได้อยากออกมาเดินเที่ยวเช่นเดียวกันนะคะ ไม่แน่เราอาจจะได้เดินสวนกันในสถานที่ใดที่หนึ่งก็ได้น้าาาา





















ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เส้นทางแสนเพลิน ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง

สโลว์ไลฟ์กันบ้างที่.. คุ้งบางกะเจ้า

รู้ไว้ไม่เอาต์ เฮาส์ออฟแม่โขง (House of Mekhong)