ข้ามเจ้าพระยาไปเที่ยวย่านกุฎีจีน

หากมีเวลาว่างๆ ทางสะดวก ขอเชิญชวนชาวเราเที่ยวกันแบบชิลๆ นั่งเรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยารับลมเย็นๆ ไปในชุมชนชิคๆที่มีวัฒนธรรมผสมผสาน เดินเที่ยวได้อย่างเพลิดเพลิน จะเป็นที่ไหนไปได้ถ้าไม่ใช่ "ย่านกุฎีจีน" ที่ที่มีแหล่งแชะ ชม ชิม ช็อป ชิล อย่างเยอะจนไม่น่าเชื่อ และเราไม่ขอให้เชื่อ จนกว่าคุณจะได้มาพิสูจน์ด้วยตัวเอง 😁



   
เราเริ่มต้นการเดินทางด้วยการใช้รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สายสีน้ำเงิน ไปยังปลายทางที่ สถานีสนามไชย (BL31) แล้วใช้ทางออกที่ 5 เพื่อไปต่อเรือข้ามฟากที่ ท่าราชินี (ท่าปากคลองตลาด) เมื่อออกจากสถานีมาสู่ภาคพื้นจะพบว่าเราอยู่ด้านข้างของโรงเรียนราชินีนั่นเอง และถ้ามองไปฝั่งตรงข้ามโรงเรียนจะพบสถานีตำรวจนครบาลพระราชวังที่มีรูปแบบอาคารอนุรักษ์สวยงามสะดุดตายิ่งนัก



   
   
การไปยังท่าเรือให้สังเกตแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหลัก เดินตรงไปทางฝั่งแม่น้ำ แล้วข้ามสะพานไป จะเห็นท่าเรือมีป้ายบอกชัดเจนว่า ท่าเรือปากคลองตลาด ตามภาพเลยค่ะ ไปลงเรือเพื่อข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาปลายทางคือ ท่าเรือวัดกัลยาณมิตร ค่าเรืออยู่ที่คนละ 6 บาท  รอไม่นานเราก็ได้ลงเรือ ลมเย้นเย็น วิวดี๊ดี ถ้าอยากจะถ่ายภาพจากในเรือ รีบถ่ายกันให้ไว เพราะนั่งเรือไม่นานจะต้องขึ้นฝั่งที่ท่าเรือวัดกัลยาณมิตรแล้ว



   
หลังจากเรือมาถึงท่าฯแล้ว เราเดินไปทางขวาก่อน (เดี๋ยวเราค่อยกลับมาเดินทางซ้าย ไปเที่ยวที่ชุมชนกุฎีจีน ยาวๆไปเลยค่าาา) เพื่อไปยังวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร สักการะหลวงพ่อโต หรือ พระพุทธไตรรัตนนายก ซึ่งเป็นพระประธานองค์ใหญ่(มากกกก ก.ไก่ล้านตัว) ในพระวิหารหลวง พระราชทานสร้างโดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงโดยเฉพาะในหมู่ชาวจีน เรียกชื่อแบบจีนว่า ซำปอฮุดกง หรือ ซำปอกง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย หน้าตักกว้างประมาณ 11.5 เมตร    สูงประมาณ 15.25 เมตร เห็นไหมว่าองค์ใหญ่จริงๆ ว่ากันว่าหลวงพ่อโตที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ในด้านแคล้วคลาดปลอดภัย และความเป็นมิตรไมตรีคนรักคนหลง ถ้าจะขอพรจากท่าน ให้ขอด้านนี้นะจ๊ะ หลังสักการะเรียบร้อย ให้เดินกลับไปทางท่าเรือฯ ที่เราขึ้นมา เพื่อเดินไปทางซ้ายบ้าง เราจะไปที่อื่นกันต่อแล้วจ้าาา
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมของวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารดูได้ที่ลิงก์นี้ค่ะ  https://th.wikipedia.org/wiki/วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร


   
   
   
   
   
เดินตามทางมาเรื่อยๆ สังเกตด้านขวามือจะพบกับซุ้มประตูสีแดง มีชื่อชัดเจนว่า "ศาลเจ้าแม่กวนอิม" เดินถัดเข้ามาด้านในจะเห็นกำแพงมีคำว่า "เกียนอันเกง" ที่นี่เป็นศาลเจ้าจีนเก่าแก่ของชุมชนกุฎีจีนแห่งนี้ เพื่อไม่ให้สับสนจะลำดับความเข้าใจให้ว่า ศาลเจ้านี้ชื่อ ศาลเจ้าเกียนอันเกง มีองค์เจ้าแม่กวนอิมเป็นองค์ประธานของศาลเจ้า  ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ในปี พ.ศ. 2551 จุดเด่นของศาลเจ้านี้คือการประดับตกแต่งด้วยไม้แกะสลักที่มีความปราณีตและสมบูรณ์ แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามาแล้วอยากจะบอกเพิ่มเติมว่า ที่ศาลเจ้าแห่งนี้แหละเป็นที่มาของชื่อแหล่งกุฎีจีน เพราะที่ศาลเจ้าแห่งนี้ในอดีตเคยมีพระจีนจำวัดมาก่อน ชาวบ้านเรียกว่ากุฏิพระจีน จนเพี้ยนมาเป็นกุฎีจีนหรือกะดีจีนดังเช่นปัจจุบัน ถ้าคุณอยากไปไหว้พระในศาลเจ้าจีนที่ให้ความขลัง ศักดิ์สิทธิ์อย่างสงบ ไม่แสบตาควันธูป ปราศจากเสียงโหวกเหวก ไร้เสียงเขย่าเซียมซี ขอเชิญที่ศาลเจ้าแห่งนี้เลย



เดินถัดมาเล็กน้อย มองข้ามกำแพงไปจะพบกับบ้านโบราณที่ตกทอดมาจากต้นตระกูลวินด์เซอร์ หลายคนเรียกว่าบ้านวินด์เซอร์ เป็นเรือนขนมปังขิง ซึ่งเจ้าของในปัจจุบันไม่ได้สนใจจะอยู่อาศัยที่นี่ บ้านนี้จึงปิดตายและไม่มีการปรับปรุงใดๆ ทำให้คงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิม ซึ่งมีเหลือเพียงไม่กี่หลังในชุมชนกุฎีจีนแห่งนี้ จัดเป็นไฮไลท์อารยธรรมอย่างหนึ่งของที่นี่



   
เดินต่อมาอีกหน่อย เราก็จะพบกับซุ้มประตูที่เป็นศาลานั่งพักได้ด้วย มีป้ายชื่อ "วัดซางตาครู้ส" เดินตรงเข้าไปจะพบโบสถ์ซางตาครู้ส เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก มีจุดเด่นที่ยอดโดมแบบอิตาลี มีลักษณะคล้ายคลึงกับโดมแห่งมหาวิหารฟลอเรนซ์หรือโดมของพระที่นั่งอนันตสมาคม ภายในเป็นอาคารชั้นเดียว ฝ้าเพดานแบบโค้ง มีกระจกสีที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนา เข้าไปอยู่ภายในโบสถ์แล้วให้ความรู้สึกใจสงบเย็นอย่างประหลาด
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมของโบสถ์ซางตาครู้สดูได้จากลิงก์นี้  https://th.wikipedia.org/wiki/วัดซางตาครู้ส



ออกจากโบสถ์ซางตาครู้สด้านประตูข้างขวา เราจะเห็นตรอกซอกซอยในชุมชนกุฎีจีน แลเห็นป้ายบอกทางไปพิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน และร้านขนมฝรั่ง เป็นอันว่ามาถูกทาง เราน่าจะได้ชม ชิม และแชะอะไรดีๆแน่นอน มุ่งหน้าสู่เป้าหมายทันทีค่ะ



   
   
เดินเข้าในซอยตามป้ายบอกทางเพียง 50 เมตร จะพบพิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน ที่ชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายเครื่องดื่มประเภทชากาแฟ น้ำอัดลม ที่มีบรรยากาศร่มรื่น มีมุมให้เลือกนั่งดื่มด่ำกับเครื่องดื่มแก้วโปรดได้อย่างเต็มที่ ส่วนด้านบนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวของชุมชนแห่งนี้ สามารถขึ้นไปชม แชะ ชิลได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ไม่อนุญาตให้นำอาหารและเครื่องดื่มขึ้นไปนะคะ ด้านบนเก็บรักษาของโบราณ ข้าวของเครื่องใช้ ภาพถ่าย และข้อมูลต่างๆ ให้เราย้อนระลึกถึงชุมชนแห่งนี้ในอดีต ไฮไลท์ที่นี่คือชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้ามีหลังคาโปร่ง เพื่อให้มาชมวิวของชุมชนได้ 360 องศา ใครมาถึงแล้วไม่แชะภาพในมุมนี้ แสดงว่าเอ๊าท์นาจ๊าาาา 
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมของพิพิธภัณฑ์กุฎีจีนดูได้จากลิงก์นี้  https://www.facebook.com/baankudichinmuseum/



   
   
ออกจากพิพิธภัณฑ์ก็ได้เวลาหาอาหารมื้อหนักใส่ท้องกันละ มาถึงนี่แล้วต้องร้านนี้เลย "บ้านสกุลทอง - กุฎีจีน" ร้านอาหารสยาม-โปรตุเกส อยู่ใกล้มาก แค่เยื้องกันกับพิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีนนั่นเอง ที่นี่เขาขายอาหารเป็นชุด ชุดละ 250 บาทต่อคน ในชุดจะประกอบไปด้วย อาหารว่างชาววังไว้เรียกน้ำย่อย อาหารจานหลัก ขนมหวาน และเครื่องดื่มน้ำสมุนไพร 
อาหารชุดมีให้เลือก 3 แบบ แตกต่างกันตรงอาหารจานหลัก คือ ชุดขนมจีนแกงไก่คั่ว  ชุดสตูว์ไก่กับขนมปังอบ และชุดข้าวสังข์หยดกับหนุมานคลุกฝุ่น คุณแตนเจ้าของร้านภูมิใจนำเสนอข้าวสังข์หยดว่าเป็นข้าวที่ปลูกได้ที่พัทลุงเท่านั้น เราจึงไม่พลาดที่จะเลือกอาหารตามภาพเลย อยากบอกคุณๆว่าอาหารอร่อยมาากกกก ทั้งแกงไก่คั่วและหนุมานคลุกฝุ่น รสชาติเข้มข้นจัดจ้านดีงาม ไม่ต้องเติมหรือปรุงแต่งรสใดๆ เพิ่มอีกเลย ของว่างวันนี้ คือหมูสร่งและมังกรคาบแก้ว งานชาววังที่หน้าตางดงาม ได้ชิมแล้วพริ้ม ไม่มีคำว่าผิดหวังเลย (เราแอบชิมหมูสร่งไปแล้ว สังเกตได้จากภาพเลยจ้าาา) รวมถึงของหวานที่เป็นทับทิมกรอบทรงเครื่อง ก็หอมมันหวานนวลเพลิดเพลินจำเริญใจยิ่งนัก เครื่องดื่มสมุนไพรที่จัดให้ไม่อั้นคือน้ำกระเจี๊ยบรสชาติเข้มข้นเปรี้ยวนำหวานตามได้อย่างลงตัว และยังมีน้ำแร่เสริฟคู่มาให้อีกด้วยนะ แนะนำว่าอย่าได้พลาดที่จะแวะมาทานมื้อเที่ยงหรือบ่ายกันที่นี่ เราเองจะหาโอกาสกลับไปอย่างแน่นอน เพราะทั้งงามตา เพลินใจ ครบรส คุ้มค่าแบบนี้ไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆนะตัวเธอ 
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมของร้านบ้านสกุลทองดูได้จากลิงก์นี้เลยค่ะ https://www.facebook.com/อาหารบ้านสกุลทอง-กุฏีจีน-1429457317341493/



   
มาถึงถิ่นนี้ ถ้าไม่มีขนมฝรั่งกุฎีจีนติดมือกลับบ้าน ก็แปลว่ามาไม่ถึงนะจ๊ะ ดังนั้น ไปหาชิมหาช็อปกันหน่อย ที่ร้านธนูสิงห์ เดินต่อจากพิพิธภัณฑ์ฯ นั่นแหละ เข้าไปแค่ 30 เมตรก็จะเจอร้านอยู่ทางซ้ายมือ ขนมไข่หอมๆ กรอบนอก นุ่มใน มีลูกเกดให้ได้เคี้ยวหนึบหนับเป็นลูกเล่นด้วย
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมของร้านธนูสิงห์ดูได้จากลิงก์นี้เลยค่ะ https://www.facebook.com/Thanusingha-ธนูสิงห์-ขนมฝรั่งกุฎีจีน-154919061214165/



   
   
ออกจากชุมชนกุฎีจีน เดินกลับออกมาทางฝั่งแม่น้ำ ยังมีแรงเหลือเราก็เดินเล่นกันต่อ เลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ จะเห็นสะพานพระพุทธยอดฟ้า ที่มีชื่อเต็มๆว่า สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ แต่ชาวเรานิยมเรียกกันทั่วไปสั้นๆว่าสะพานพุทธ อยู่ทางขวามือ เดินไปทางนั้นเพื่อไปยังวัดประยุรวงศาวาส ระหว่างทางมีวิวสวยให้แชะภาพได้อีกเพียบ ลองดูสิเพลินเชียว



   
   
   
เดินมาถึงวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ถือโอกาสเข้าไปสักการะพระพุทธนาคน้อยที่มีอายุถึง 700 ปี พุทธคุณในด้านแคล้วคลาดจากภัยทั้งปวง อัญเชิญจากสุโขทัยในพระวิหาร และพระบรมธาตุมหาเจดีย์ ที่ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และจัดสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์มีพระกรุจำนวนมาก ถือเป็นเจดีย์แบบลังกาองค์แรกในสมัยรัตนโกสินทร์
ในการบูรณะองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ทำให้วัดนี้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมอันดับ 1 (Award of Excellence) จากยูเนสโกในด้านการอนุรักษ์ทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีเขามอ (ภูเขาจำลอง) ให้ได้ชมอีกด้วย โดยรอบเขามีลักษณะเป็นน้ำล้อมรอบ สร้างเลียนแบบธรรมชาติให้มีความร่มรื่นและเลี้ยงเต่าจำนวนมาก บางคนจึงเรียกว่าเขาเต่า มีนักท่องเที่ยวมานั่งเล่นและให้อาหารเต่าตลอดทั้งวัน บรรยากาศดีเชียวโดยเฉพาะในช่วงเย็นๆ อากาศดี ลมพัดเย็นสบาย นั่งเพลิน พร้อมมุมถ่ายรูปเก๋ๆมากมาย
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมของวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารดูได้ที่ลิงก์นี้เลยค่ะ  https://www.watprayoon.com/main.php



   
วันนี้เที่ยวสนุก ครบทั้งชม แชะ ชิม ช็อป แบบชิลๆ กันทั้งวัน ที่ใครๆก็ทำได้ง่ายๆด้วยการนั่งรถไฟฟ้าสบายๆมาเที่ยว ไม่ต้องขับรถให้เหนื่อย ไม่ต้องนั่งรถติดให้เมื่อย ไม่ต้องหาที่จอดรถให้กลุ้ม แล้วได้มาเห็นมาสัมผัสวิถีชุมชน ที่มีวัฒนธรรมแตกต่างแต่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน ถึงตอนนี้ก็ได้เวลากลับบ้านกันแล้วล่ะ เราใช้เส้นทางเดิม คือกลับไปที่สถานีรถไฟฟ้า MRT สถานีสนามไชย (BL31) ภายในสถานีนี้สวยงามแตกต่างจากสถานีอื่นๆ จนอดไม่ได้ที่จะต้องบันทึกภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก นัยว่าตั้งใจออกแบบและตกแต่งให้เหมือนกับท้องพระโรงในสมัยรัตนโกสินทร์ จึงมีความสง่างามน่าภาคภูมิใจระคนอยู่ด้วย เราเชื่อว่าถ้าคุณๆได้มาเห็นมาสัมผัสสถานีสนามไชยคุณจะอิ่มเอมใจ แต่เชื่อเหอะ คุณจะอิ่มเอมใจยิ่งกว่าหากเพิ่มเติมการเที่ยววัดไทย โบสถ์ฝรั่ง ศาลเจ้าจีน ด้วยการข้ามเจ้าพระยาไปเที่ยวย่านกุฎีจีน 

   








ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เส้นทางแสนเพลิน ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง

สโลว์ไลฟ์กันบ้างที่.. คุ้งบางกะเจ้า

รู้ไว้ไม่เอาต์ เฮาส์ออฟแม่โขง (House of Mekhong)