นั่งรถไฟไปสู่อิสรภาพกันเถอะ


วันหยุดสุดสัปดาห์นี้เราอยากชวนคุณไปเดินเล่นย่านถนนอิสรภาพกันบ้าง เพื่อนเราสมัยกระโปรงบานขาสั้นบอกว่าย่านนี้มีของดีอยากให้ลองไปเที่ยวดู แต่ก็ไม่ได้บอกว่ามีอะไร เอ้อ...แฮะ โจทย์นี้ท้าทายดีแท้ ไปก็ไปฟระ ดูซิ...เราจะเจออะไรดีๆ อย่างเพื่อนว่าไหมน้อออ...


ทริปนี้เราเลือกที่จะเดินทางโดยใช้รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ปลายทางที่สถานีอิสรภาพ (BL32) เมื่อไปถึงสถานีแล้ว เราอดที่จะสำรวจรายละเอียดภายในสถานีอิสรภาพนี้ไม่ได้ สถานีแห่งนี้โดยภาพรวมแล้วไม่ได้มีการออกแบบให้แตกต่างกว่าสถานีอื่นๆ มากนัก แต่สิ่งที่สะดุดตาคือ เน้นการใช้สีทองเป็นหลัก และใช้ภาพหงส์เป็นสัญลักษณ์ของสถานี นอกจากจะแสดงถึงความเป็นมงคลแล้ว ยังเป็นตราสัญลักษณ์ประจำของวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร เพื่อสื่อถึงประวัติศาสตร์ของพื้นที่บริเวณนี้
 



ถนนอิสรภาพก็ต้องมี 2 ฝั่งแหละ ฝั่งเลขคู่และฝั่งเลขคี่ วันนี้จะพาไปซอกแซกกันฝั่งซอยเลขคี่ก่อนนะ เราใช้ทางออกที่ 2 เพื่อไปยังซอยอิสรภาพ 23 เมื่อถึงภาคพื้นแล้วให้เดินย้อนสถานีขึ้นไป  เดินไม่กี่ก้าวก็จะพบกับป้ายใหญ่เบิ้มทางขวามือเขียนว่า "วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร" แสดงว่ามาถูกทางแล้ว ว่ากันตามจริงเดิมทีเราไม่ใช่สายเที่ยววัดหรอกนะ แต่จากการออกทริปมาหลายครั้ง เดินเข้าวัดมาหลายหน ทำให้ได้ข้อสังเกตว่า... ถ้าเราเที่ยววัดแบบพินิจมากกว่ามองผ่านๆ แล้วละก็ วัดมีอะไรน่าสนใจมากกว่าแค่เดินเข้าไปทำบุญแล้วเดินออกมาเยอะเลย เอ๊ะ!! นี่เราออกนอกเรื่องไปไหนแล้วเนี่ย กลับมาที่ปากซอยอิสรภาพ 23 กันก่อน อิอิ ^^  ว่าก็ว่าเถอะ เราไม่คุ้นกับชื่อวัดราชสิทธารามราชวรวิหารเลย เหตุเพราะไม่ได้สนใจเรื่องวัดวามาก่อน และไม่ใช่คนพื้นที่ด้วย แต่ไหนๆ ป้ายก็ใหญ่โตเห็นชัดถนัดตาขนาดนี้ จะปล่อยผ่านไปไม่สำรวจซะหน่อยก็จะรู้สึกติดขัดในใจชอบกล ไหนๆ ก็มาถึงนี่ละ อย่าให้เสียเที่ยว ป่ะ... หน้าเดิ้นนน


เดินเข้าซอยอิสรภาพ 23 ไปตรงๆ เราก็จะพบซุ้มประตูวัดราชสิทธารามราชวรวิหารอยู่ตรงหน้า สิ่งที่เราได้เห็นในบริเวณวัดทำให้ประเมินได้ว่าวัดแห่งนี้น่าจะเป็นวัดเก่าแก่ พบเห็นสถาปัตยกรรมที่คงสภาพเดิม และที่ถูกบูรณะใหม่ ปูนปั้นโบราณรูปต่างๆ เมื่อสนทนาธรรมกับแม่ชีที่อยู่ภายในบริเวณวัด จึงได้ข้อมูลว่าวัดแห่งนี้เดิมชื่อวัดพลับ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่มามีความสำคัญก็เมื่อสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลที่ 1 เพราะถูกใช้เป็นสถานที่จำพรรษาของพระญาณสังวรเถร (สุก ไก่เถื่อน) พระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระอริยวงษญาณสมเด็จพระสังฆราช นอกจากนี้แม่ชียังแนะนำให้เราไปเดินชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งของวัดแห่งนี้อีกด้วย  ใช่ค่ะคุณ ไม่ผิดหรอก มีพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งอยู่ที่นี่จริงๆ ชักอยากรู้แล้วสิ เป็นอย่างไรหนอ ...ไปดูกัน!!!
   
   

เดินไปตามทางที่แม่ชีบอก คือออกประตูที่มีรูปปั้นช้าง แล้วเดินไปทางขวาตามป้ายบอกทางไปพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง ระยะทางไม่ถึง 50 เมตร เราก็พบพิพิธภัณฑ์อยู่ทางซ้ายมือภายในเขตรั้วของคณะ ๕ นั่นเอง เดินเข้าไปเลยจ้าาา  พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งอยู่บนชั้น 2 ของคณะ ๕ ซึ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งเสมือนของพระอาจารย์สายกรรมฐานทั้งสิ้น รวมถึงตำราการสอนกรรมฐานต้นตำรับวัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร อีกด้วย


เราได้รับความรู้และคำแนะนำจากสะพานบุญผู้มีน้ำใจท่านหนึ่งที่พบกันโดยบังเอิญที่นี่ เขาคือโยมโด่ง (ณัฐวัฒน์) ผู้ซึ่งมีหน้าที่การงานมั่นคงระดับผู้บริหารในบริษัทใหญ่โตที่บอกไปใครก็ต้องร้องอ๋อ  เขาบอกเล่าว่าที่นี่นอกจากจะเป็นพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งแล้ว ยังเป็นที่เก็บรวบรวมของโบราณอีกมากมาย เช่นบาตรดิน เศษจีวร และเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของพระเจ้าตากสินมหาราชเมื่อครั้งทรงผนวช ไม้เท้า ตาลปัตรของสมเด็จพระสังฆราชหลายพระองค์ ตาลปัตรใบลานโบราณ พระคัมภีร์ใบลานโบราณ และอื่นๆ 
โยมโด่งให้ความสนใจมาเรียนปฏิบัติกรรมฐาน ณ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม กับพระอาจารย์สิทธิสังวร ซึ่งนอกจากตนเองแล้ว ภรรยาและลูกชาย ก็ฝากตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์สิทธิสังวรด้วยเช่นกัน เขาเล่าว่ามาเรียนและฝึกปฏิบัติกรรมฐานที่นี่เนื่องจากเคยมีทุกข์หนักมาก่อน แต่จากสีหน้าของโยมโด่งที่เราเห็นในวันนี้ คงยืนยันได้ว่าสิ่งที่เคยทำให้ทุกข์นั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว หากคุณๆ สนใจที่จะเรียนรู้การปฏิบัติกรรมฐาน สถานที่แห่งนี้จัดเป็นสถานศึกษาแห่งหนึ่งที่น่าสนใจมากทีเดียว ก่อนออกจากวัดแห่งนี้ไปโยมโด่งฝากคำพูดสั้นๆ แต่มีความหมายว่า ทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรานั้นล้วนเกิดจากการยึดติดทั้งสิ้น ลองทบทวนดู ก็เห็นจริงตามนั้นแล สาธุ 🙏  
สนใจข้อมูลวัดราชสิทธาราม ราชวรวิหารเพิ่มเติมสามารถคลิกดูได้ที่ https://www.somdechsuk.org/


เพื่อไปยังจุดหมายใหม่ เราใช้ Google map เป็นตัวช่วยพาเราใช้ทางลัดไปยังซอยอิสรภาพ 21 ซึ่งเป็นที่ตั้งของ วัดสังข์กระจายวรวิหาร นั่นเอง เดินทะลุซอยซอกแซกพอได้เหงื่อ ก็พบวัดสังข์กระจายอยู่ตรงหน้า เข้าไปเลยจร้าาาา 


ตามประวัติแล้ววัดสังข์กระจายแห่งนี้เดิมเป็นวัดที่ถูกสร้างมาตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยาต่อต้นสมัยกรุงธนบุรี เป็นวัดเล็กๆ ไม่สวยงามนัก จวบจนยุครัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ 1 พระองค์ทรงโปรดพระราชทานการบูรณปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ ระหว่างการดำเนินการสร้างพระอุโบสถนั้นได้ขุดพบพระกัจจายน์หนึ่งองค์ และหอยสังข์หนึ่งตัว จึงพระราชทานนามวัดแห่งนี้ว่าวัดสังข์กระจาย 
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่ปรากฎได้ว่าวัดแห่งนี้ถือเป็นแหล่งให้กำเนิดบทเทศน์มหาชาติมหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์ชูชกที่มีความไพเราะจับใจอีกด้วย

เราออกสำรวจรอบวัดพบว่าวัดอยู่ติดกับคลองบางกอกใหญ่ จึงมีท่าน้ำเป็นของตัวเอง ใกล้กับท่าน้ำเราพบหอระฆังสวยงามคาดว่าคงเพิ่งจะสร้างเมื่อไม่กี่ปีนี้ แต่เป็นการคาดเดาที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง หอระฆังนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 แต่ที่เห็นว่าสวยงามสีสันสดใสเพราะเพิ่งถูกบูรณะมาเมื่อเดือนที่ผ่านมานี่เองต่างหาก


ในวันนี้ถือเป็นโชคดีอย่างมากที่ได้พบกับเจ้าหน้าที่วัดผู้ใจดี พาเราเข้าชมศาลาการเปรียญของวัด ซึ่งปกติจะเปิดศาลาฯ นี้เมื่อมีงานบุญในวันพระใหญ่เท่านั้น ศาลาการเปรียญแห่งนี้เก่าแก่แค่ไหนไม่รู้ได้ รู้เพียงว่าปรากฏหลักฐานของหลวงฤทธิ์ณรงค์รอน แสงมณีผู้บูรณะศาลาฯ แห่งนี้ในปี พ.ศ. 2466 ซึ่งก็เกือบ 100 ปีแล้ว แว่บแรกที่เห็นบันได ตัวศาลาฯ และประตูศาลาฯ ก็รู้สึกถึงความอลังการในอดีตได้เลย  ภายในศาลาฯ ยังพบธรรมาสน์เก่าแก่สวยวิจิตรตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ตรงกลางศาลาฯ คุ้มค่าที่ได้มาชมจริงๆ 


ก่อนจากวัดสังข์กระจายวรวิหาร เจ้าหน้าที่ของวัดอาสาพาเราไปชมสถานที่ต่างๆ ภายในบริเวณวัดเป็นการส่งท้าย เช่น อาคารเก่าภายในโรงเรียนวัดสังข์กระจาย ท่าเทียบเรือที่มีมาตั้งแต่อดีต (ปัจจุบันได้ยกเลิกการใช้ไปแล้ว แต่ยังคงมีเค้าโครงเดิมที่แข็งแรงและมีหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองแห่งยุคสมัย) สถาปัตยกรรมอาคารเก่า ประตูไม้ ที่มีมาตั้งแต่เมื่อครั้งบูรณะราว 100 ปีที่แล้วอีกด้วย อิ่มเอมและคุ้มค่ามากที่ได้มาพบเห็นสิ่งควรค่าจะเรียกว่าเป็นสมบัติชาติจริงๆ
หากคุณๆ ต้องการศึกษาข้อมูลของวัดสังข์กระจายวรวิหาร สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.watsang.com/web/about-us/



ก่อนจากย่านนี้ไป ขอหาอะไรใส่ท้องหน่อยน่า เดินกันมาตั้งแต่เช้าแล้ว ออกจากวัดสังข์กระจายแนะนำให้เดินเลี้ยวซ้ายไปที่กลางซอย ประมาณ 500 เมตรจากวัด จะเจอร้านก๋วยเตี๋ยวอาม่า หรือบางคนอาจจะเรียกว่าก๋วยเตี๋ยวป้ายิ้มอยู่ฝั่งตรงข้าม เป็นอาคารพาณิชย์ขนาดหนึ่งคูหาไม่มีป้ายชื่อหน้าร้านหรอกแต่อยู่ติดกับร้านภมร ที่แนะนำเพราะที่นี่มีก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟเครื่องครบ เหมาะกับแฟนพันธุ์แท้อย่างเรา ไม่ใช่มีแต่ลูกชิ้นปลาอย่างเดียวนะ มาหมดทั้ง ลูกชิ้นกุ้ง หมึกกรอบ แมงกะพรุน เลือดหมูก้อน เต้าหู้กรอบ เกี๊ยวกรอบ พิเศษที่น้ำซอสเย็นตาโฟที่มีกลิ่นอายของเต้าหู้ยี้มาด้วย  และก๋วยเตี๋ยวต้มยำครบเครื่องทุกสิ่งอย่าง ทั้งลูกชิ้น หมูชิ้นต้ม ตับหมูหั่นแฉลบ ไส้หมู โรยด้วยถั่วคั่วบดหยาบ และพริกป่นที่เขาคั่วเอง กลิ่นหอมฟุ้ง รสชาติดั้งเดิมเหมือนที่เราเคยกินตอนเด็กๆ ซึ่งหายากเต็มทีในยุคสมัยดิจิทัลนี้ ใครไม่มาชิม บอกเลยว่าพลาดมาก ร้านเขาเปิดทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์และวันจันทร์ เด็ดสุดคือลูกชิ้นกุ้ง ขอย้ำ!!!  อย่าลืมสั่งโอเลี้ยงหรือชาดำเย็นมาดื่มด้วยล่ะ ฟินอย่าบอกใครเชียว


วันนี้เราได้เที่ยวชิล ชม แชะ ชิม อย่างเพลิดเพลิน ในถิ่นที่ไม่เคยคิดว่าจะมีที่เที่ยวได้ ต้องขอบคุณเพื่อนที่แนะนำให้มาจริงๆ เราว่ากรุงเทพฯ เนี่ยยังมีสถานที่เที่ยวที่รอให้เราไปแวะไปเยี่ยมอีกมากมาย โดยไม่ต้องขับรถยนต์ไปเองก็สนุกได้ แถมสะดวกกว่าซะอีก อย่างที่เราชวนให้คุณๆ นั่งรถไฟไปสู่อิสรภาพกันเถอะนี่ไง 😊

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เส้นทางแสนเพลิน ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง

สโลว์ไลฟ์กันบ้างที่.. คุ้งบางกะเจ้า

รู้ไว้ไม่เอาต์ เฮาส์ออฟแม่โขง (House of Mekhong)